ฮาวเด้น แมกซี่ อินชัวรันส์ โบรกเกอร์ ผู้นำธุรกิจบริการประกันภัย ในฐานะบริษัทร่วมทุนกับบริษัท มิลเลนเนียม กรุ๊ป คอร์ปอเรชั่น (เอเชีย) จำกัด (มหาชน) เผยผลประกอบการประจำปี 2566 สร้างรายได้กว่า 320 ล้านบาท คาดการณ์ปีงบประมาณ 2567 เติบโตอย่างน้อย 8 % ปรับโลโก้ใหม่ ให้มีความทันสมัย สะท้อนความหลากหลายรับเทรนด์โลก พร้อมเดินหน้าจัดทัพองค์กรครั้งใหญ่ ชูจุดแข็งความเป็นมืออาชีพด้านประกันภัย อีกทั้งมุ่งพัฒนาขีดความสามารถของบุคลากร เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้า รองรับการเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต
จิตวุฒิ ศศิบุตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ฮาวเด้น แมกซี่ อินชัวรันส์ โบรกเกอร์ จำกัดและนายกสมาคมนายหน้าประกันภัยไทย กล่าวว่า “บริษัท แมกซี่ อินชัวรันส์ โบรกเกอร์ จำกัดได้มีการควบรวมกิจการกับ ฮาวเด้น โบรกกิ้ง กรุ๊ป กลุ่มธุรกิจให้บริการที่ปรึกษาประกันภัยชั้นนำของโลก เมื่อปี 2561 ภายใต้ชื่อใหม่‘ฮาวเด้น แมกซี่ อินชัวรันส์ โบรกเกอร์’ โดยมีสำนักงานอยู่ในกรุงเทพฯ และจังหวัดภูเก็ต รวม 3 แห่ง พร้อมบุคลากรคุณภาพกว่า 150 ชีวิต มีเบี้ยประกันภัยทั้งประเภทตรงและต่อ รวมกว่า 4,500 ล้านบาท และสามารถสร้างรายได้ในปี 2566 กว่า 320 ล้านบาท”
“นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังให้ความสำคัญกับการพัฒนาศักยภาพของบุคลากรอย่างต่อเนื่องเพื่อการบริการที่เป็นเลิศและครบวงจร ภายใต้ผลิตภัณฑ์การประกันภัย อาทิ ประกันภัยรถยนต์ (Motor & Affinity), ประกันทรัพย์สินและความรับผิดต่อบุคคลภายนอก (Property & Casualty),ประกันภัยขนส่งและตัวเรือ (Marine & Logistic), ประกันภัยด้านวิชาชีพและการเงิน (Financial Lines), ประกันภัยอัญมณีและงานศิลปะ (Jeweler Block & Fine Arts), ประกันภัยธุรกิจพลังงาน (Power & Energy), ประกันภัยโครงการพิเศษและพลังงานทางเลือก (Specialty) เป็นต้น
การันตีความสำเร็จด้วยรางวัลนายหน้าประกันภัยวินาศภัยประเภทนิติบุคคลดีเด่น จากสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) 3 ปีติดต่อกัน (2564–2566) ซึ่งคัดเลือกจากการเติบโตของธุรกิจ การมีจรรยาบรรณ และมาตรฐาน ในการทำงาน รวมถึงมีการพัฒนาบุคคลากร และการให้บริการที่ดีอย่างต่อเนื่อง”
++ โลโก้โฉมใหม่ ง่ายแก่การจดจำของลูกค้าทั่วโลกมีการเปลี่ยนโลโก้ใหม่ สร้างสรรค์ขึ้นจากแนวคิดที่มีความทันสมัย ตัวอักษรต่อเนื่อง
ง่ายต่อการจดจำ มีหลากสี สอดคล้องกับบุคลากรและธุรกิจยุคใหม่ ที่ต้องการความหลากหลาย
และสะท้อนถึงวัฒนธรรมองค์กร ที่มีความทันสมัย รวดเร็ว เข้าถึงง่าย และมีความน่าเชื่อถือ
++ เติบโตร่วมไปกับ MGC-ASIA ผู้นำธุรกิจไลฟ์สไตล์โมบิลิตี้ครบวงจร
จุดแข็งของเราคือ การดูแลลูกค้าในกลุ่มรถยนต์ โดยเฉพาะในเครือ MGC-ASIA ได้แก่ บีเอ็มดับเบิลยู และ มินิ มิลเลนเนียม ออโต้, ซัมมิท ฮอนด้า ออโตโมบิล กลุ่มลักชัวรี่ อย่าง โรลส์-รอยซ์ รวมถึงแบรนด์พาร์ทเนอร์ ได้แก่ แอสตัน มาร์ติน, มาเซราติ, เปอโยต์ และ จี๊ป พร้อมกันนี้ ยังดูแลประกันภัยให้กับรถเช่าระยะยาวของ มาสเตอร์คาร์ เร้นเทิล MCR) และระยะสั้น ซิกท์ รถเช่าประเทศไทย (SIXT) อีกทั้งรถใช้แล้วจาก Master Certified Used Car อย่างไรก็ดี ธุรกิจรายย่อยจะมีความพิเศษ คือเป็นงานที่มีรายละเอียดมากและการแข่งขันสูง มีค่าดำเนินงานใกล้เคียงกับลูกค้ากลุ่มองค์กร บริษัทฯจึงไม่นิ่งนอนใจ และขยายสัดส่วนรายได้ให้เติบโตจากกลุ่มลูกค้าองค์กร นอกเหนือจากการดูแลลูกค้าของ MGC-ASIA ไปพร้อมกัน โดยในปัจจุบันรายได้จากกลุ่ม Motor และ Non-Motor มีสัดส่วนเท่ากับ 44%:56% ในปีงบประมาณ 2566 (ตุลาคม 2565 ถึงกันยายน 2566)
++ ลูกค้าธุรกิจองค์กร (Non-Motor) กลุ่มที่สร้างรายได้น่าสนใจ
ธุรกิจ Non-Motor จะมีกลุ่มลูกค้าองค์กร ในผลิตภัณฑ์ประกันทรัพย์สินและความรับผิดต่อบุคคลภายนอก/การประกันภัยการค้ำประกันภัยลูกจ้าง เป็นสัดส่วนถึง 27% นอกจากนี้ ยังมีการรุกเข้าไปในผลิตภัณฑ์ใหม่ ที่ใช้ความชำนาญของกลุ่มบริษัท ฮาวเด้น เพื่อเสริมสร้างการเติบโต เช่น กลุ่มพลังงานหมุนเวียน, กลุ่มพลังงานสะอาด โดยทีมผู้เชี่ยวชาญเป็นนายหน้าการรับประกันภัยต่อ และการเป็นนายหน้าการรับประกันภัยการขนส่งทั้งทางน้ำและทางบก โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลิตภัณฑ์จากพี่น้องเกษตรกรและการท่องเที่ยวในภาคใต้ พร้อมกับการขยายตัวในกลุ่มการเงิน ไม่ว่าจะเป็นการป้องกันความเสี่ยงจากการละเมิดบุคคลภายนอก ทั้งตัวบริษัท กรรมการ และผู้บริหาร หรือกระทั่งการป้องกันความเสี่ยงในกรณีของการควบรวมบริษัท หรือความไม่สำเร็จในโครงการขนาดใหญ่ กล่าวได้ว่า เราเป็นผู้เชี่ยวชาญเพียงหนึ่งเดียว ที่จะให้คำแนะนำสำหรับกลุ่มลูกค้าที่มีมูลค่าสูง เช่น งานแสดงเครื่องประดับ นิทรรศการศิลปะ ทั้งในและต่างประเทศ
ยุทธนา ม้ามณีแดง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารลูกค้า บริษัท ฮาวเด้น แมกซี่ อินชัวรันส์ โบรกเกอร์ จำกัด กล่าวถึง ทิศทางการเติบโตของบริษัทฯ ในอนาคตว่า “เพื่อให้บรรลุถึงเป้าหมายในปีงบประมาณ 2567 (ตุลาคม 2566 - กันยายน 2567) เรามองการเติบโตของธุรกิจประกันภัย รวมถึงผลกระทบจากเศรษฐกิจมหาภาคของประเทศและโลก ที่มีความผันผวน รวมถึงรายได้ที่หายไปในส่วนกรมธรรม์ที่ไม่มีการต่ออายุ เช่น กรมธรรม์ประกันภัยการก่อสร้าง รวมถึงลูกค้าที่ลดเบี้ยประกันภัยเมื่อต่ออายุกรมธรรม์ โดยประมาณการเติบโตอยู่ที่ 8% จากรายได้รวมในปีงบประมาณ 2566 ที่มีรายได้สุทธิอยู่ที่ 327 ล้านบาท เป็น 353 ล้านบาท ในปีงบประมาณ 2567”
บริษัทฯ มีการจัดทัพองค์กรและบุคลากร อาทิ โปรแกรมขยายระยะการรับประกัน (Extended Warranty) ที่ส่วนใหญ่บริษัทประกันจะจัดอยู่ในกลุ่มที่ไม่ใช่ยานยนต์ ก็จะรวบโปรแกรมนี้เข้ากับกลุ่มยานยนต์ เรียกรวมว่า Affinity ช่วยเพิ่มความสะดวกในการติดต่อช่องทางดียว พร้อมจัดทัพฝ่ายขายแบบ Cross Selling ที่ใช่พนักงานดูแลเพียงคนเดียว รวมถึงเพิ่มบุคลากรที่มีความเชียวชาญด้าน Cyber Insurance, Trade Credit และ Marine & Logistics และที่ขาดไม่ได้คือ การฝึกอบรมบุคลากรในหลักสูตรที่เกี่ยวข้อง พร้อมมอบทุนการศึกษาในหลักสูตร ANZIIF (Australian and New Zealand Institute of Insurance and Finance) ที่มีความเข้มข้น เพื่อก้าวสู่การเป็นนักประกันภัยระดับสากล
++ ปรับปรุงผลิตภัณฑ์ให้เหมาะสมกับผู้บริโภคอยู่เสมอ
มีการเพิ่มผลิตภัณฑ์ที่น่าสนใจ อีกทั้งยังคงเก็บผลิตภัณฑ์ที่สอดคล้องกับแผนกลยุทธ์ซึ่งบริษัทฯ จะใช้ความได้เปรียบจากการเป็นผู้เชี่ยวชาญ เช่นในกลุ่มพลังงาน พลังงานสะอาดและพลังงานทางเลือก รวมทั้งการเป็นที่ปรึกษาในเรื่องของ Carbon Credit โดยปัจจุบัน ฮาวเด้น แมกซี่ เป็นผู้นำในกลุ่มพลังงานทางเลือก ทั้งในประเทศไทยและยุโรป
++ แชร์มุมมองกับคู่ค้า ปรับปรุงคุณภาพของข้อมูล เพื่อการวิเคราะห์ที่แม่นยำ
มีการประชุมเพื่อแลกเปลี่ยนความเห็นกับคู่ค้า เชิญผู้เชี่ยวชาญทั้งในและต่างประเทศ ร่วมหารือ แนะนำผลิตภัณฑ์ แลกเปลี่ยนข้อมูล วิเคราะห์แนวโน้มของอุตสาหกรรม ที่มีผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงในธุรกิจประกันภัย พร้อมปรับปรุงคุณภาพของข้อมูลเพื่อการวิเคราะห์ที่แม่นยำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับ MGC-ASIA ที่มีลูกค้ารีเทลครอบคลุมทุกเซกเมนต์ รวมกับลูกค้าองค์กรอีกหลายแสนราย เรียกว่าครอบคลุมทั้งธุรกิจต่อธุรกิจ (B2B), การขายผลิตภัณฑ์สู่ผู้บริโภค (B2C) และระหว่างธุรกิจต่อธุรกิจสู่ผู้บริโภค (B2B2C) ขณะที่ ฮาวเด้น แมกซี่มีธุรกรรมนับแสนรายการต่อปี เราต้องการวิเคราะห์ข้อมูลในหลายๆ มิติ รวมถึงสร้างความเข้าใจให้พนักงาน เพื่อนำไปสู่การบรรลุเป้าหมายร่วมกัน
++ กำหนดเป้าหมาย โดยมีลูกค้าเป็นศูนย์กลาง
มีการปรับทิศทางการทำงาน ปรับปรุงผลิตภัณฑ์ให้โดนใจ เพื่อเข้าถึงความต้องการของลูกค้ามากขึ้น ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้ตั้งเป้าหมายสู่การเป็นผู้นำในธุรกิจ ในกลุ่มลูกค้ารายย่อย และคิดค้นผลิตภัณฑ์รูปแบบใหม่ สำหรับกลุ่มอุตสาหกรรมพลังงานทางเลือก Financial Lines, Cyber Insurance พร้อมรักษาสัดส่วนทางการตลาดในกลุ่ม Property & Casualty, Employee Benefits และ Marine อย่างต่อเนื่อง
ด้วยเชื่อมั่นว่าการปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์ โดยมีลูกค้าเป็นศูนย์กลาง การรักษาสมดุลในกลุ่มธุรกิจรายย่อย และกลุ่มธุรกิจองค์กร การนำข้อมูลที่มีอยู่มาวิเคราะห์ถึงพฤติกรรมลูกค้าประกอบกับการนำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่ พร้อมพัฒนาทักษะให้บุคลากร จะช่วยให้บริษัทฯบรรลุเป้าหมาย รายได้สุทธิ และรักษาอัตราการเติบโต ได้ตามแผนที่กำหนด
COMMENTS