Scarperia e San Piero, 20 พฤศจิกายน 2021 – เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ ปี 1967 เฟอร์รารี่สร้างหนึ่งในความสำเร็จที่น่าตื่นตาตื่นใจที่สุดในประวัติศาสตร์ ด้วยการคว้าอันดับ 1, 2 และ 3 จากรายการ 24 Hours of Daytona ซึ่งเป็นสนามแรกของการแข่งขัน International World Sports Car Championship ในปีนั้น รถทั้งสามคันที่รับธงหมากรุกเคียงข้างกันในสนามแข่งที่มี Ford เป็นเจ้าบ้าน ประกอบด้วยรุ่น 330 P3/4 ในตำแหน่งผู้ชนะเลิศ, 330 P4 อันดับ 2 และ 412 P ในอันดับ 3 แสดงให้เห็นถึงจุดสูงสุดของการพัฒนา เฟอร์รารี่ P3 รถซึ่งเป็นรุ่นที่ Mauro Forghieri หัวหน้าวิศวกร ได้ปรับปรุงแต่ละพื้นฐาน นั่นคือ เครื่องยนต์, ช่วงล่าง และแอโรไดนามิกส์ ของรถแข่งทั้งสามอย่างมีนัยสำคัญ 330 P3/4 ห่อหุ้มจิตวิญญาณของรถสปอร์ตต้นแบบแห่งทศวรรษ 1960 ไว้อย่างสมบูรณ์แบบ ทศวรรษนี้ถือเป็นยุคทองของการแข่งรถแบบล้อปิด (Closed Wheel) และถูกนำมาเป็นจุดอ้างอิงหลักสำหรับเหล่าวิศวกรและนักออกแบบจากรุ่นสู่รุ่นสืบมา
ชื่อของ Icona ใหม่ ถูกนำมาใช้เพื่อปลุกตำนานที่เคยคว้าชัยสามอันดับแรกให้โชติช่วงอีกครั้ง และยังเป็นการแสดงความเคารพต่อรถสปอร์ตต้นแบบของเฟอร์รารี่ ที่ช่วยให้แบรนด์โด่งดังในวงการมอเตอร์สปอร์ตอย่างไม่มีใครเทียบได้ Daytona SP3 ที่เผยโฉมเป็นครั้งแรกวันนี้ ณ Mugello Circuit ภายในงาน 2021 Ferrari Finali Mondiali เป็นรุ่นผลิตจำนวนจำกัดคันล่าสุดที่เข้าร่วมซีรีส์ Icona ซึ่งเปิดตัวไปเมื่อปี 2018 ด้วยรุ่น Monza SP1 และ SP2
ดีไซน์ของ Daytona SP3 เป็นการผสมผสานอย่างลงตัวของการตัดกันในการออกแบบ, ประติมากรรมที่สง่างาม และพื้นผิวอันเย้ายวนที่ตัดไปมาด้วยเส้นสายคมกริบที่ช่วยเน้นให้เห็นถึงความใส่ใจในเรื่องอากาศพลศาสตร์แบบเดียวกับดีไซน์ที่เห็นได้จากบรรดารถแข่ง อาทิ 330 P4, 350 Can-Am และ 512 S ตัวถังแบบ ‘Targa’ พร้อมหลังคาแข็งที่ถอดออกได้ซึ่งได้แรงบันดาลใจมาจากรถแข่งรุ่นต้นแบบเช่นกัน ดังนั้น Daytona SP3 จึงไม่เพียงมอบความเร้าใจในการขับขี่เท่านั้น แต่ยังสามารถเพลิดเพลินไปกับการใช้งานในชีวิตประจำวันได้อีกด้วย
ในด้านเทคนิค Daytona SP3 นำวิศวกรรมอันสลับซับซ้อนที่เคยใช้กับรถแข่งในทศวรรษที่ 1960 มาใช้เป็นแรงบันดาลใจ: ย้อนกลับไปในช่วงเวลานั้น ประสิทธิภาพสูงสุดของรถ ได้มาจากพื้นฐาน 3 ประการที่กล่าวไปข้างต้นนั่นเอง
Daytona SP3 มาพร้อมกับเครื่องยนต์ V12 แบบไม่มีระบบอัดอากาศ วางกลางลำ ซึ่งเป็นรูปแบบพื้นฐานตามแบบฉบับของรถแข่ง แน่นอนว่าเป็นขุมพลังที่โดดเด่นที่สุดของมาราเนลโลอย่างไม่มีข้อกังขา ให้กำลังสูงสุดถึง 840 แรงม้า ทำให้กลายเป็นเครื่องยนต์ที่ทรงพลังที่สุดเท่าที่เฟอร์รารี่เคยสร้างมา ร่วมด้วยแรงบิด 694 นิวตันเมตร และรอบเครื่องสูงสุดถึง 9,500 รอบ/นาที
แชสซีส์ทั้งหมดสร้างขึ้นจากวัสดุผสม ด้วยเทคโนโลยีเดียวกับที่ใช้ในรถแข่งฟอร์มูลา 1 ซึ่งไม่เคยมีปรากฏใน road car อีกเลยนับตั้งแต่ที่เคยนำมาใช้ใน LaFerrari ซูเปอร์คาร์รุ่นสุดท้ายจากมาราเนลโล เบาะนั่งถูกรวมเป็นหนึ่งเดียวกับแชสซีส์เพื่อลดน้ำหนักและให้ได้มาซึ่งตำแหน่งการขับขี่แบบเดียวกับที่ใช้ในรถแข่งตัวจริง
และเช่นเดียวกับรถที่เป็นแรงบันดาลใจในการสร้าง Daytona SP3 การพัฒนาและออกแบบแอโรไดนามิกส์มุ่งเน้นไปยังประสิทธิภาพสูงสุด ด้วยการใช้ชุดแอโรแบบตายตัวเพียงอย่างเดียว ด้วยคุณสมบัติที่ไม่เคยมีมาก่อน เช่น ปล่องที่ดึงอากาศแรงดันต่ำออกจากใต้ท้องรถ ทำให้ Daytona SP3 เป็นรถยนต์ที่มีประสิทธิภาพตามหลักอากาศพลศาสตร์มากที่สุดเท่าที่เฟอร์รารี่เคยสร้างมา โดยไม่ต้องใช้อุปกรณ์แอโรแบบ Active (ปรับอัตโนมัติได้) แต่อย่างใด การผสมผสานนวัตกรรมทางเทคนิคอย่างชาญฉลาดเหล่านี้ ส่งผลให้รถสามารถเร่งจากจุดหยุดนิ่งสู่ 100 กม./ชม. ได้ใน 2.85 วินาที และใช้เวลาเพียง 7.4 วินาที เท่านั้น จาก 0-200 กม./ชม. ประสิทธิภาพที่เร้าใจ, การปรับแต่งขั้นสูงสุด และซาวด์แทร็กอันไพเราะจากขุมพลัง V12 จะมอบความสุขอย่างแท้จริงในการขับขี่แบบที่ไม่มีสามารถใครเทียบได้
ติดตามข่าวประชาสัมพันธ์ www.BeyondDrive.com
COMMENTS