หลายๆ คนคงอาจจะเคยได้ยินคำว่า “EV-Electric Vehicle” หรือยานยนต์ไฟฟ้า ว่าเป็น Trend ที่มาแรงในยุคนี้ คนทั่วโลกหันมาใช้รถ EV กันมาก โดยเฉพาะยุโรป สหรัฐอเมริกา จีน ญี่ปุ่น จนมียอดขายทะลุ 4 ล้านคันไปแล้ว
ในไทยเองก็มีหลายค่ายรถยนต์ที่ทยอยเปิดตัวรถ EV ตามกระแสโลก แต่ก็ยังถือว่าเป็นเรื่องใหม่สำหรับคนไทย ซึ่งอาจจะยังไม่รู้ว่า การจะเปลี่ยนจากรถยนต์น้ำมันเชื้อเพลิงที่เคยใช้กัน มาขับรถ EV นั้น มี 5 สิ่งสำคัญที่ต้องรู้เมื่อใช้รถ EV
1. รถ EV ชาร์จครั้งหนึ่ง วิ่งได้กี่กิโลเมตร ?
ยานยนต์ไฟฟ้า จริงๆ แล้วมีทั้งหมดถึง 4 ประเภท แต่ว่ายอดขาย 4 ล้านคันที่นับกันว่าเป็น “รถ EV” เฉพาะรุ่นที่เสียบปลั๊กชาร์จไฟฟ้าเข้าแบทเตอรีได้ ซึ่งก็คือ ประเภท Plug-in Hybrid (PHEV) และ Battery Electric Vehicle (BEV) เท่านั้น
- PHEV ใช้พลังงานผสมระหว่างน้ำมันเชื้อเพลิง และไฟฟ้าจากแบทเตอรีที่เสียบปลั๊กชาร์จไฟได้ โดยระยะทางที่วิ่งได้จากไฟฟ้า ขึ้นอยู่กับความจุของแบทเตอรี ส่วนใหญ่มีความจุแบทเตอรีอยู่ที่ 6-14 kW วิ่งได้ 25-50 กม./การชาร์จ 1 ครั้ง
- BEV ขับเคลื่อนโดยใช้พลังงานไฟฟ้าจากแบทเตอรี 100 % จึงไม่มีการปล่อยมลพิษทางอากาศ แต่จำเป็นต้องเสียบปลั๊กชาร์จไฟเข้าแบทเตอรีเท่านั้น เช่น รถ Tesla Model 3 มีความจุแบทเตอรีอยู่ที่ 60-90 kW วิ่งได้ 338-473 กม./การชาร์จ 1 ครั้ง
ยานยนต์ไฟฟ้า จริงๆ แล้วมีทั้งหมดถึง 4 ประเภท แต่ว่ายอดขาย 4 ล้านคันที่นับกันว่าเป็น “รถ EV” เฉพาะรุ่นที่เสียบปลั๊กชาร์จไฟฟ้าเข้าแบทเตอรีได้ ซึ่งก็คือ ประเภท Plug-in Hybrid (PHEV) และ Battery Electric Vehicle (BEV) เท่านั้น
- PHEV ใช้พลังงานผสมระหว่างน้ำมันเชื้อเพลิง และไฟฟ้าจากแบทเตอรีที่เสียบปลั๊กชาร์จไฟได้ โดยระยะทางที่วิ่งได้จากไฟฟ้า ขึ้นอยู่กับความจุของแบทเตอรี ส่วนใหญ่มีความจุแบทเตอรีอยู่ที่ 6-14 kW วิ่งได้ 25-50 กม./การชาร์จ 1 ครั้ง
- BEV ขับเคลื่อนโดยใช้พลังงานไฟฟ้าจากแบทเตอรี 100 % จึงไม่มีการปล่อยมลพิษทางอากาศ แต่จำเป็นต้องเสียบปลั๊กชาร์จไฟเข้าแบทเตอรีเท่านั้น เช่น รถ Tesla Model 3 มีความจุแบทเตอรีอยู่ที่ 60-90 kW วิ่งได้ 338-473 กม./การชาร์จ 1 ครั้ง
2. รถ EV ต้องชาร์จบ่อยไหม และค่าชาร์จไฟแพงไหม ?
รถ EV ควรชาร์จไฟจนเต็มประจุ 1 ครั้งทุกสัปดาห์ เพื่อเป็นการกระตุ้นเซลล์เก็บประจุให้ทำงานครบ ช่วยลดการเสื่อมของแบทเตอรี ในการใช้งานระยะยาว
ในส่วนของค่าไฟในการชาร์จก็ถูกแสนถูกเมื่อเทียบกับการเติมน้ำมัน คือ ค่าชาร์จไฟรถ EV ประมาณ 0.7-1 บาท/กิโลเมตร เมื่อเทียบค่าเติมน้ำมันรถทั่วไปประมาณ 3 บาท/กิโลเมตร ทำให้สามารถประหยัดค่าเชื้อเพลิงรถไปได้มากกว่า 3 เท่าสำหรับการชาร์จไฟเองที่บ้าน แต่ถ้าไปชาร์จที่ Charging Station ในห้างหรือตามปั๊ม ก็อาจมีการบวกค่าบริการเพิ่มเติมแล้วแต่สถานที่
3. รถ EV ชาร์จที่บ้านปลอดภัยไหม ?
สายชาร์จที่แถมกับรถ เป็นแค่ Emergency Charge ! (สาย Mode 2) เหมาะสำหรับการชาร์จ “เพียงชั่วคราวสั้นๆ ในยามฉุกเฉิน*” ที่แบทเตอรีรถ EV หมดนอกบ้าน แล้วต้องการเสียบชาร์จให้มีไฟฟ้าพอขับกลับบ้าน หรือสถานีชาร์จเท่านั้น ไม่ได้ออกแบบสำหรับเสียบชาร์จกับปลั๊กไฟบ้านทิ้งไว้ทั้งคืนเป็นประจำ เนื่องจากอาจเกิดความร้อนสะสมที่เต้าเสียบไฟบ้าน ซึ่งอาจทำให้ระบบไฟบ้านเกิดปัญหาได้ ดังภาพ เมื่อชาร์จเต็มแล้วควรถอดปลั๊กทันที
สาเหตุมาจากสายไฟบ้านทั่วไปในไทยทนกระแสไฟได้ 10 A หรือน้อยกว่าแล้วแต่สภาพใช้งาน แต่สายชาร์จแถม (Mode 2) สามารถดึงกระแสไฟสูงสุดถึง 12A ซึ่งเกินจากสายไฟบ้านรับได้ ! หากต้องการใช้อย่างปลอดภัย ต้องเดินสายไฟใหม่ขนาด 4 Sq.mm. ขึ้นไป สำหรับเฉพาะเต้าเสียบนี้เท่านั้น โดยไม่พ่วงกับอุปกรณ์ไฟฟ้าอื่นๆ และต้องมีระบบสายดินด้วย
การไฟฟ้านครหลวง แนะนำว่าการชาร์จที่บ้านควรใช้เครื่อง Wallbox EV Charger (เครื่อง Mode 3) เพื่อความปลอดภัย ซึ่งรับกระแสไฟได้ 16-32 A สามารถชาร์จได้เต็มประสิทธิภาพของรถยนต์แต่ละรุ่น และมีระบบตัดไฟเมื่อชาร์จเต็ม หรือเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน เช่น กระแสไฟเกิน ความร้อนเกิน (มี Over-Current and Thermal Protection)
4. รถ EV ใช้เวลาชาร์จนานขนาดไหน ?
สายชาร์จแถม (Mode 2) ใช้เวลาชาร์จนาน ไม่เต็มประสิทธิภาพรถ แต่เครื่อง Wallbox EV Charger (Mode 3) สามารถช่วยย่นระยะเวลาได้มาก ตามประสิทธิภาพรถและรุ่นรถ
- PHEV ความจุแบทเตอรีอยู่ที่ 6-14 kW สายชาร์จแถม ใช้เวลาชาร์จ 3-7 ชม. แต่เครื่อง Wallbox EV Charger สามารถช่วยย่นระยะเวลาเหลือเพียง 1-2 ชม. เท่านั้น
- BEV ความจุแบทเตอรีอยู่ที่ 60-90 kW สายชาร์จแถม ใช้เวลาชาร์จประมาณ 40 ชม. แต่เครื่อง Wallbox EV Charger สามารถช่วยย่นระยะเวลาเหลือเพียง 3-4 ชม. เท่านั้น
5. รถ EV ที่ว่าสามารถชาร์จตามปั๊มแค่ไม่กี่นาที เป็นยังไง ชาร์จรถ EV ได้ทุกรุ่นไหม ?
การชาร์จไฟแบบ DC Quick Charge (Mode 4) ตามที่เห็นในปั๊มน้ำมันในต่างประเทศ รองรับแค่รถประเภท BEV แค่เพียงไม่กี่ยี่ห้อ เช่น Tesla, Nissan Leaf, BMW i3/i8 เป็นต้น (ไม่สามารถชาร์จรถ PHEV ส่วนใหญ่ได้) แม้ว่าจะชาร์จได้เร็วมากเพียง 20 นาทีก็เกือบเต็ม แต่หากใช้แต่ DC Quick Charge (Mode 4) เป็นประจำ มีโอกาสทำให้แบทเตอรีเสื่อมเร็วกว่ากำหนด ควรใช้แค่ 2 ใน 10 ของการชาร์จทั้งหมด ส่วนอีก 8 ใน 10 ควรชาร์จแบบ AC charge โดยใช้เครื่อง Wallbox EV Charger (Mode 3) หรือ สายแถม (Mode 2)
แต่ทั้งนี้ในไทยยังมี DC Quick Charge Station ให้บริการน้อยมาก มีเพียงแต่ AC Charge ตามห้างหรือปั๊ม ซึ่งบางที่มีหัวชาร์จไม่ครบทุกประเภท จึงอาจไม่สามารถชาร์จรถบางยี่ห้อได้ เพราะรถจากแต่ละประเทศก็มีหัวชาร์จที่แตกต่างกัน เช่น รถสหรัฐอเมริกา รถญี่ปุ่น เป็นหัวชาร์จ Type 1, รถยุโรป เป็นหัวชาร์จ Type 2, รถจีนเป็นหัวชาร์จ GB/T อีกทั้งยังมีหัว Quick Charge ประเภทต่างๆ อีก
หากว่าใครที่กังวลเรื่องการชาร์จรถ EV ของคุณ ปัญหาเหล่านี้มีทางออก ด้วย Wallbox EV Charger (Mode 3) นำเข้าจากประเทศอังกฤษ ของ PromptCharge มีบริการติดตั้งถึงบ้านด้วยทีมวิศวกร สามารถชาร์จรถ EV ที่บ้านคุณได้ทุกวัน สะดวก รวดเร็ว ปลอดภัย สนใจรายละเอียด ติดต่อ Facebook: promptcharge, Line@: @promptcharge หรือ โทร. 06-6115-4942, 08-2624-5486
COMMENTS